ไปป่ะล่ะ มัณฑะเลย์ พุกาม ประเทศพม่า ประทับใจจนมิอาจลืม

A : เฮ้ย !!! คืนนี้ หางแดง มี โปร 0 บาท!!!
B : จริงดิ จองไปไหนดีวะ ?
A : พม่า มั๊ยล่ะ
B : พม่ามันมีอะไรให้เที่ยววะ ?
A : เออน่า ไปป่ะล่ะ ?

นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของรีวิวนี้ มัณฑะเลย์ พุกาม (Bagan) ประเทศเมียนมาร์ หรือชื่อเก่าที่คนไทยคุ้นหู ประเทศพม่านั่นเองครับท่านผู้ชมมม เรียกว่าเที่ยวรอบนี้ครบรสครับ ได้ทุกอารมณ์ จริงๆ ถ้าถามว่าอารมณ์ไหน บ้างติดตามจากกระทู้ รีวิวนี้ได้เลย

ก่อนจะอ่านกระทู้รบกวนกดดูคลิปกระชากอารมณ์กันสักนิดโนะ อุตส่าห์ถ่ายมา ไม่ดูเสียใจแย่เลย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

เริ่มต้นหลังจากลงเครื่อง ผ่านพิธีการในสนามบินเรียบร้อยแล้ว เราก็ทำการแลกเงินโดยเราเตรียมเงินดอลล่าร์ไปก็เดินดูเรทในสนามบินได้เลย

ถัดมาก็ไปซื้อซิมมือถือ เพื่อความสะดวกในการหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว และยังโทรในประเทศพม่าได้ด้วยเผื่อต้องการโทรหาแท็กซี่หรือโรงแรม เรียกว่ามีไว้อุ่นใจกว่าเผื่อฉุกเฉินยังไง โทรไปสถานฑูตไทยได้ก็ยังดี เราเลือกซื้อ tourist sim ของ telenor ครับ โดย Package ที่มาพร้อมซิมก็ Internet 1 GB, Free Facebook แล้วก็ค่าโทรอีก 5,000 จ๊าด ซิมมีอายุ 14 วัน ราคาซิม 12,000 จ๊าด สำหรับซิมใช้ได้ดีตลอดทริป ไม่มีปัญหาใดๆเลยครับ เปิด hotspot ใช้ 2 คน จบทริปเนตปริ่มๆ เกือบหมดพอดี

หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถบัสของ AirAsia เข้าเมือง หากไม่ได้บิน AirAsia หากไม่มีโรงแรมมารับก็ต้องหาเรียก taxi ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 45 นาที รถจะมาส่งแถวๆ Mandalay Royal Palace สำหรับเพื่อนๆ ที่มา AirAsia จำจุดลงไว้ให้ดี มาร์คจุดในแผนที่ไว้เลยก็ดีนะจ้ะ เพราะขากลับเราก็ต้องมาขึ้นตรงที่เดิมนี่แหละ

เนื่องจากโรงแรมที่เราพัก Taw-win Myanmar อยู่ไม่ไกลจุดลงรถบัสมากนัก เดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงโรงแรม โดยระหว่างทางก็จะมีพี่ ๆ เจ้าถิ่นมาทักทาย ถามไถ่เรา จะไปไหนหรอ ? มีโรงแรมหรือยัง ? ไปส่งไหม ? แต่เรายืนยันจะเดิน ตื้อได้ตื้อไปสิ !!!  ถึงโรงแรมก็จัดแจงเช็คอินแล้วก็นัดแนะ taxi ของโรงแรม ให้พาไปสะพานไม้อูเบ็ง เมืองอมระปุระ ครับ

สำหรับสะพานไม้อูเบ็งเป็น สะพานไม้ที่ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ทอดข้ามทะเลสาบตองตามัน โดยใช้ไม้สักที่รื้อจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะจำนวน 1,208 ต้น โดยปัจจุบันสะพานไม้แห่งนี้ยังถูกใช้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านในละแวกนั้นในการสัญจรไปมาอยู่ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งลมหายใจของชาวบ้านที่นี่เลยก็ว่าได้ สำหรับนักท่องเที่ยวสะพานไม้อูเบ็งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามทีเดียว

กลับจากสะพานไม้อูเบ็งเราก็เดินเล่นหาอะไรกินรอบ ๆ เมืองครับเดินไปกินไอศกรีมที่ Nylon ice-cream และขนมที่มีขายระหว่างทาง

Strawberry Milk Yogurt

Avocado Milk Yogurt

อันนี้คล้ายๆ ขนมครกไข่นกกระทาครับ

ส่วนอันนี้ตอนแรกที่เห็นน่าลองเฉยๆ พอได้ลองนี่แบบอร่อยมากกกกกก

ก็จบวันแรกของทริปนี้ … สำหรับเช้าวันพรุ่งนี้เรามีนัดกับคนขับ taxi ตอนตีสี่เพื่อไปชมพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนีกัน

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่จะมามัณฑะเลย์หรือกำลังวางแผนมามัณฑะเลย์แล้วล่ะก็ ยอมตื่นเช้าสักนิด (จริงๆ อาจจะไม่นิด) มาชมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้
เนื่องจากชาวพม่ามีความเชื่อว่า พระมหามัยมุนีที่ถือเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานนี้ยังมีลมหายใจอยู่ เพราะฉะนั้นในทุกๆ เช้าจะมีการล้างหน้าพระมหามัยมุนีกัน เพื่อนๆ อาจคิดว่าเค้าล้างกันทุกวันคงเบื่อ คงจะล้างแบบให้ผ่านๆ ไปลองไปชมสักครั้ง แล้วจะเห็นว่าเค้าทำกันเป็นจริงเป็นจังอย่างมาก เป็นพิธีที่ดูขลัง ดูศักดิ์สิทธิ์ น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราเป็นอันมาก

ระหว่างยืนรอวัดเปิดประตูครับ

หลังจากวัดเปิดประตู ผู้ชายจะอยู่โซนข้างหน้าตรงนี้ครับ โดยจะมีประตูอีกชั้นนึงรอพระผู้ทำพิธีมาเปิด แล้วพิธีก็จะเริ่มครับ

ชุดบูชามีบริการอยู่ข้างหน้าประตูวัดครับ

หลังจากประตูถูกเปิดออกความงามขององค์พระมหามัยมุนีก็เปิดเผยขึ้นต่อหน้าเราครับ สวยงามมากจริงๆ

โดยในการชมพิธีล้างหน้านั้น เค้าให้ผู้ชายนั่งด้านหน้า และจะแบ่งโซนที่จะให้ผู้หญิงนั่งถัดมาครับ โดยจะมีการถ่ายทอดสดพิธีให้เห็นโดยทั่วกัน

หลังจากพิธีล้างหน้าเสร็จผู้ชายจะสามารถไปปิดทองที่องค์พระมหามัยมุนีได้ โดยข้างในมีการติดเครื่องปรับอากาศ ป้ายไฟ LED สำหรับบอกอุณหภูมิ เดาว่าเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้พระมหามัยมุนี ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป

ชั้นของทองที่ถูกปิดทับๆกันจนนิ่มเลยทีเดียวครับ ขออภัยหากภาพนี้สั่นครับ หลังจากกดภาพนี้ปุ้ป เสียงตะโกนก็ตามมา No Photo!!!

หลังจากเสร็จจากพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี ก็เดินดูของหน้าวัดนิดหน่อยครับ

เสร็จจากพระมหามัยมุนี เราก็กลับมากินข้าวเช้าที่โรงแรมเป็นอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ครับรสชาติอร่อยใช้ได้เลย จากนั้นก็ทำการเก็บของเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วมาต่อกันที่ท่าเรือมัณฑะเลย์ ไปหมู่บ้านมิงกุนกัน เพื่อข้ามไปชมหมู่บ้านมิงกุน

พอขึ้นท่าเรือปุ๊ป ก็มีไกด์ชาวบ้านมาเลย เค้าก็แนะนำตัวเลยครับว่าเค้าเป็นไกด์ Local นะ ไม่ได้มาหลอกนะ เค้าทำงานหาเลี้ยงครอบครัวนะ ให้เค้าเดินแนะนำเฉยๆ ไม่ต้องจ่ายตังก็ได้ ไอ้เราก็เดินบอกไม่เอาๆ อิตาคนนี้ก็บอกไม่เป็นไร ไม่ต้องจ่ายตังก็ได้ … ครับจำคำนี้ไว้ให้ดี ฮาๆๆๆ

ที่มิงกุนมีเจดีย์มิงกุนที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยเจดีย์นี้เกิดจากพระเจ้าปดุงตั้งใจจะสร้างเจดีย์นี้ขึ้นมา แต่ท่านสวรรคตเสียก่อน สร้างได้เพียงแค่ฐานรากของเจดีย์ ขนาดแค่ฐานรากยัง 50 เมตรเลยครับท่านผู้ชม สำหรับเจดีย์มิงกุนเราสามารถเดินขึ้นไปบนยอดของฐานเจดีย์ เพื่อดูวิวหมู่บ้านและแม่น้ำอิระวดีได้ หากในทริปท่านมีคนชรามาด้วยก็อย่าให้ท่านขึ้นเลยจะดีกว่าครับ บันไดช่วงแรกจะธรรมดาเดินได้เรื่อยๆ แต่พอเลยครึ่งทางเท่านั้นแหละครับ ชันเอาเรื่องเลยทีเดียว

แล้วก็เดินมาต่อที่ตำหนักเกจิอาจารย์ ท่านหนึ่งครับ ไกด์บอกว่าดังมากๆ

ต่อจากนั้นท่านไกด์คนเดิม ก็พาเดินลัดเลาะ (เฮียแกบอกว่าเดินทางปกติไม่ได้มีไกด์ที่มีใบอนุญาต อยู่เฮียแกมาทำเพื่อครอบครัวไม่มีใบอนุญาต) มายังระฆังมิงกุน โดยระฆังมิงกุนมีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน ระฆังมิงกุนถือเป็นระฆังใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากระฆังที่อยู่ที่เครมลิน ประเทศรัสเซียแต่ใบนั้นแตกร้าวไปแล้ว

เสร็จจากระฆังก็เดินลัดเลาะเฮียแกก็เช่นเดิม มาลัดเลาะหมู่บ้าน มาดูเล้าหมู คนอาบน้ำหน้าบ้าน ดังภาพ …

เฮียแกพาเรามาต่อที่ เจดีย์ชินพิวเม เจดีย์ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิระวดี เนื่องมาจาก เจดีย์นี้สร้างโดยพระเจ้าบากะยีดอว์เพื่อระลึกถึงพระมหาเทวีชินพิวเมที่ล่วงลับไป เรียกว่าเป็นเจดีย์ที่สวยมากอีกที่หนึ่งเลยของหมู่บ้านนี้

จากตรงนั้นเฮียไกด์แกก็เร่งเราให้รีบเดินกลับเพราะจะไม่ทันรอบเรือกลับฝั่งมัณฑะเลย์ ก็มีแอบแวะถ่ายร้านตามทางเดินมานิดหน่อย

เจดีย์มิงกุนองค์จำลองครับ หากสร้างเสร็จจะมีรูปแบบนี้

แล้วระหว่างทางเราก็ถามแกแหละ แกก็ดีให้ข้อมูลเราดีก็ยื่นเงินจ๊าดให้จำนวนนึง เฮียแกก็บอกเอาเป็นเงินบาทได้มั้ย เราก็อะๆ ยื่นให้ 200 บาท เฮียแกบอก 500 บาทนะ … ใช่แล้วครับ! ท่านผู้ชมครับ ลองย้อนความจำไปสิ่งที่อ่านผ่านมาเมื่อประมาณ 5 นาทีที่แล้วนะครับ … ไม่เป็นไรไม่ต้องจ่ายตังก็ได้ … แต่ทำไมตอนนี้คุณท่านพี่ไกด์ผู้ทรงเกียรติของเราถึงมาต่อราคาสินน้ำใจของเรากัน 555 เราก็เฮ้ยยยยยยไม่ได้ ….300 ละกัน เค้าบอก 400 บาทเพื่อครอบครัวเค้าและค่าเทอมของเค้า ไอ้เราก็เออๆ ยอมจ่ายไป >____< ก็ถือว่าไม่ได้แพงมากครับในฐานะที่เค้ามาแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้กับเรา แล้วเค้าก็ดูแลเราเป็นอย่างดีครับ ก็ขอเตือนเพื่อนๆ ที่จะไปครับ อย่าหลงเชื่อว่าเค้าไม่เอาเงินเด็ดขาดปฎิเสธเค้า แล้วก็เดินๆอย่างเดียวไม่ต้องสนใจครับ แต่ถ้าสนใจจะให้เค้าแนะนำสถานที่ผมว่าก็ win-win เลยล่ะ จบจากตรงนี้ก็นั่งเรือกลับมัณฑะเลย์ละครับ

พอมาถึงท่าเรือมัณฑะเลย์ เราได้นัดแนะคนขับ taxi ให้มารับเราไว้เรียบร้อยแล้ว พอมาถึงเค้าก็โบกมือหยอยๆ เรียกเราให้ไปหา จุดหมายถัดไปคือแวะทานอาหาร แล้วไปพระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Royal Palace)

สำหรับพระราชวังมัณฑะเลย์นั้นมีค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติอยู่ที่ 10,000 จ๊าดต่อคน โดยสามารถใช้ตั๋วที่ได้มาเข้าชมสถานที่อื่นนอกจากพระราชวังมัณฑะเลย์ฮะ สำหรับพระราชวังมัณฑะเลย์นั้นเป็นพระราชวังที่สร้างโดยพระเจ้ามินดง เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังที่ถือได้ว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย แต่แล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษได้ทำการทิ้งระเบิดพระราชวังแห่งนี้เนื่องจากเชื่อว่าเป็นแหล่งซ่องสุมทหารญี่ปุ่นจน พระราชวังแห่งนี้เหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน ต่อมารัฐบาลพม่าได้ทำการสร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ต่อจากพระราชวังมัณฑะเลย์เรามาต่อกันที่วัดชเวนันดอร์ครับ สำหรับวัดชเวนันดอร์ถูกสร้างโดยพระเจ้ามินดง โดยใช้ไม้สักทองในการสร้างทั้งหลัง เพื่อใช้ในการนั่งสมาธิของพระเจ้ามินดง สำหรับวัดชเวนันดอร์นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะเห็นได้ถึงสถาปัตยกรรมที่สวยงามของพม่า ทั้งงานไม้ งานแกะสลัก เรียกว่าเป็นอีก 1 สถานที่ที่ไม่ควรพลาดครับ


ร้านขายของฝากแถวๆ วัดชเวนันดอร์ ครับ

next station ของเราคือวัดกุโสดอร์ฮะ โดยวัดกุโสดอร์นั้นเป็นวัดที่พระเจ้ามินดง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก โดยรูปแบบตัวเจดีย์นั้นจำลองมาจาก 1 ใน 5 มหาบูชาสถาน เจดีย์ชเวซิกอง แห่งเมืองพุกาม เมืองที่เราจะไปในวันถัดไป

หลังจากวัดกุโสดอร์เนื่องจากเวลาตอนนั้นประมาณ 4 โมงแล้ว เราจึงบอกให้คนขับมุ่งตรงไปที่ Mandalay Hill เลย ไม่งั้นเราอาจจะไปไม่ทันชมพระอาทิตย์ตก สำหรับ Mandalay Hill เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง มัณฑะเลย์นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวเมืองมัณฑะเลย์ได้ และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในเมืองมัณฑะเลย์

เสร็จจากตรงนี้เราก็กลับที่พัก ไปทานอาหารร้านใกล้ๆ โรงแรมที่เจ้าของพูดไทยได้นิดหน่อย อาหารของเค้าผมว่าท่านๆ ที่ไปน่าจะถูกปากกับอาหารร้านนี้เลยทีเดียว สามารถเลือกที่เป็นข้าวแกงหรือตามสั่งเค้าก็ทำให้ได้ แถมราคาก็สบายกระเป๋าเป็นอันมาก

เสร็จจากร้านอาหารก็ได้เวลารอรถทัวร์ไปพุกาม (Bagan) ไว้มาต่อพรุ่งนี้นะครับ ตี 1 แล้ว … ^^

เสร็จจากร้านอาหารก็ได้เวลารอรถทัวร์ไปพุกาม (Bagan) ที่เราให้ทางโรงแรมทำการจองไว้ให้ ซึ่งรอบรถทัวร์ไปพุกามที่เราจองคือรอบ 21:30 และจะมีรถมารับไปที่ท่ารถตอนประมาณ 20:30 ครับ แล้วเรื่องก็เกิดตรงนี้ …

ถ้าท่านที่เตรียมตัวจะไปพม่าและมีแพลนที่จะนั่งรถทัวร์ระหว่างเมืองมัณฑะเลย์-พุกามอาจจะเคยลองอ่านรีวิวอื่นที่ผ่านๆ มา เกือบทุกแหล่งจะบอกไว้ว่ารถทัวร์จะใช้เวลาประมาณ 6 ชม. นั่นคือไปถึง ตี 3 ไม่น่าเกินตี 4 โดยประมาณ ซึ่งจะพอดีกับการเอาของไปเก็บแล้วเราออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้เลย

แต่ !!! หลังจากที่เราเหนื่อยมาทั้งวัน เราก็หลับบนรถทัวร์แบบไม่รู้เรื่องเลย วาร์ปมาอีกทีรถจอดเวลาประมาณตี 1 ครึ่ง ไอ้เราก็คิดว่าเค้าจอดแวะส่งคนครับท่านผู้ช๊มมมม แต่เปล่าเลย คนรถบอกว่าถึงพุกามแล้ว … ช็อคสิครับ ทั้งไทย จีน ฝรั่ง เกาหลี บนรถงงกันหมด พลิกทุกตำรา ทุกการบอกเล่า เคว้งสิเคว้ง ทำไงดี อากาศตอนนั้นหนาวก็หนาวทำไรไม่ถูก มึนงง อาการง่วงหายไปปริดทิ้ง เหลือเพียงความงง และ ตะเตือนไต

ท่ามกลางความงุนงงของนักท่องเที่ยว อาชีพๆ นึงที่ยิ้มกระหย่องในใจเป็นเหมือนเสือที่มีลูกแมวตัวน้อย ใช่แล้วครับคนขับ taxi ไม่รู้พวกท่านคิดว่ากำลังเล่นหมากรุก หรือ หมากฮอต พี่แกจ้องแต่จะโขกอย่างเดียวเลย ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ต่อรองยังไง อยากให้ลดราคาแค่ไหน พี่แกก็จะได้เปรียบเราอยู่ดี ขนาดมีคู่สามี ภรรยาชาวเกาหลี มาคุยเพื่อให้แชร์รถไปด้วยกัน ราคาอาจจะลดลงนิดหน่อย แต่แน่นอนครับ พี่คนขับแกได้เงินเพิ่มไปซะอย่างนั้น ระหว่างทางขับมาได้หน่อยนึง Taxi ก็ชะลอรถครับ ข้างทางมีลักษณะเป็นเหมือนตู้ยาม น่าจะเป็นจุดสำหรับเสียค่าธรรมเนียมเข้าเมืองครับ พอชะลอรถแล้วไม่มีคนอยู่ในป้อม Taxi ก็ทำเสีย จุ๊ ๆ ๆ จากนั้นก็เหยียบคันเร่งต่อไปเลย นี่ Taxi นอกจากจะโขกค่าโดยสารตรูและยังทำให้ตรูอยู่ในสถานะหลบหนีเข้าเมืองอีกเรอะ !!! (แต่จริง ๆ แล้วบัตรผ่านเข้าเมืองจะซื้อได้ตามจุดต่าง ๆ ของเมืองครับโดยจะมีเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจอยู่ ค่าธรรมเนียมก็อยู่ที่ 20$ ครับ)

เราก็ให้ไปส่งที่โรงแรมเพื่อให้เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ แล้วก็ไปนั่งอยุ่ร้านชา-กาแฟ เปิด 24 ชม. ที่เป็นเหมือนโต๊ะบอลซะมากกว่า เพราะมีบอลให้ดูหลายคู่ ที่กระดานก็มีผลบอลของวันนี้ พอถึงร้านชาก็นั่งจิบชาคลายหนาว แล้วก็คุยกับคู่สามี ภรรยาชาวเกาหลี เพราะ taxi แกเสนอว่าจะพาเที่ยวพุกาม สำหรับผมกับเพื่อนคิดว่าราคาที่ taxi เสนอมาแพงเกินไป แล้วชาวเกาหลีแกก็ทิ้งเราไปกับคนขับ taxi ฮะ ก่อนไปพี่แกจ่ายเงินค่าชาให้เราด้วย ก็เซย์ แต้งกิ้ว บ๊ายบาย กู๊ดลัค กันไป

ก็นั่งอยู่อย่างนั้นจนถึงประมาณตี 3 ครึ่งก็ออกจากร้านชา เดินเท้ากลับไปโรงแรมระยะทางประมาณ 2 กม. จากร้านกาแฟ สองข้างทางไม่มีแม้แต่ผู้คน มีเพียงความหนาวกับหมาเจ้าถิ่นที่เป็นคู่ปรับของเรา ณ เวลานั้น เรียกว่าเดินผ่านหมาเจ้าถิ่นนี่มือกำขาตั้งกล้องกันเลยทีเดียว

เราเดินมาถึงโรงแรมก็จัดแจงปลุกคนดูแลเพื่อขอเช่ามอเตอร์ไซไฟฟ้า เรียกว่าเฮียแกไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษซักเท่าไหร่คุยกันแค่เรื่องราคาค่าเช่ารถ อยู่เกือบชม. พอโอเคเช่าเสร็จก็รีบบึ่งไปเจดีย์ชเวซันดอร์ท่ามกลางความหนาว บิดมอเตอร์ไซค์ไปมือแข็งไป ก็ไม่ขออธิบายอะไร ณ จุดนี้ให้มันมากความ วิวพระอาทิตย์ขึ้นข้างบนนั้นมันกินขาดครับ สวย ประทับใจมาก ยิ่งมีบอลลูนมาเติมความสวยงามบนท้องฟ้าสีทองเข้าไปอีก โอ้ยยย วิวนี่อลังสุดเลยครับ

หลังจากตรงนี้ ร่างกายก็บอก นายจ๋า อีนี่ไม่ไหวแล้ว นายจ๋าใช้เรามากเกินไปแล้ว ทางโรงแรมใจดีให้เราเช็คอินได้ตอน 8 โมงเช้า ก็ตัดสินใจเช็คอินแล้วเข้านอน ตื่นอีกที เที่ยงเลยครับ

หลังจากนอนเอาแรงพอได้ที่ บวกกับแรงมาม่าที่พกมาจากบ้านเกิดเมืองนอน ก็ลุยกันต่อที่เจดีย์ชเวสิกอง 1 ใน 5 มหาบูชาสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศพม่า

วัดติโลมินโล (Htilominlo Temple) วัดติโลมินโลนั้น สร้างในสมัยพระเจ้าติโลมินโล โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมให้สร้างตามมหาโพธิเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย

วัดสัญพัญญู (Thatbyinnyu Phaya Temple)  สร้างในสมัยพระเจ้าอลองสิธู สูงประมาณ 61 เมตร เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามแล้วครับ

วัดอนันดา (Ananda Phato Temple) เป็นวัดที่มีพระพุทธรูป 4 ด้าน เรียกได้ว่าเป็น เพชรน้ำเอกของพุทธศิลป์สกุลช่างพุกาม ครับ ถือว่าเป็นวัดที่สวยงาม วัดนึงในพุกามทีเดียว

เจดีย์บูพยา (Bupaya Pagoda) ลักษณะรูปทรงเป็นรูปน้ำเต้าเวลาชาวเรือล่องเรือมาทางแม่น้ำอิระวดีจะเห็นเจดีย์บูพยา ตั้งเด่นเป็นสง่า สีทองอร่าม โดยจากตรงเจดีย์บูพยาเราสามารถดูวิวแม่น้ำอิระวดีได้ครับ

เจดีย์มิงกะลาเซดีย์ (Mingalazedi Pagoda) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้านรสีหบดี เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยอิฐ มีบันไดให้ขึ้นได้แต่ไม่สูงมากนัก

ตามวัดและเจดีย์ต่างๆ จะมีช่างคิลป์ชาวพม่านำรูปภาพมาขายให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อได้ ราคาไม่แรงมากนัก

เจดีย์โลกะนันดาพยา (Lawkananda Paya Pagoda) เป็นเจดีย์สีทอง มองเห็นวิวของแม่น้ำอิระวดีได้ และสามารถดูพระอาทิตย์ตกได้ที่นี่ครับ

แล้วก็มาถึงเจดีย์สุดท้ายของวันแรกในพุกามครับ กับ  เจดีย์ธรรมยาสิกะ (Dhamma Ya Zi Ka Pagoda) เป็นอีกเจดีย์สีทองอร่ามสวยงามมากจริงๆ ครับ

เช้าวันใหม่ เราเลือกไปที่เดิม กับเจดีย์ชเวซานดอร์ ครับติดใจวิวจากเมื่อวาน ตื่นมาล้างหน้าล้างตาแล้วรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์มาเลย

วิวเจดีย์อนันดาครับ

แถมรูปมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าให้สักนิดครับ ^^

หลังจากกลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้วก็บึ่งมา เดินเล่นในตลาดครับ

บึ่งมอไซไปต่อเจดีย์กันดีกว่าครับ เริ่มจากสำรวจเจดีย์ที่จะใช้ในการถ่ายพระอาทิตย์ตกครับ เจดีย์บูเรติ (Bulethi Pagoda) เดินขึ้นบันไดไปบนเจดีย์จะเห็นวิวทุ่งเจดีย์ได้เป็นอย่างดีครับสำหรับเจดีย์นี้ ถือเป็นวิวที่สวยมากกับการจะมาถ่ายพระอาทิตย์ตก และคนน่าจะไม่เยอะเท่าชเวซานดอร์ครับ

วัดธรรมะยางจี (Dhamma-yangyi Temple) ตัววัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สร้างด้วยอิฐแดง ใหญ่โตทีเดียว

วัดสุลามณี (Sulamani Temple) เป็นวัดที่มีจิตรกรรมฝาผนังและปูนปั้นที่สวยงามวัดนึงในพุกามครับ

แล้วก็อีกหนึ่งสถานที่สำหรับเป็นตัวเลือกในการถ่ายพระอาทิตย์ตกครับ เจดีย์ Pya-Tha-Da Paya

แล้วเราก็เลือกที่จะถ่ายพระอาทิตย์ตกที่ เจดีย์ข้างๆ เจดีย์บูเรติครับ

จะเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่คอยตรวจว่านักท่องเที่ยวจ่ายค่าเข้าเมืองพุกามรึยังครับ

แล้วเราก็จบทริปพุกามที่ตรงนี้ครับ เหมือนเดิมครับเราเดินทางกลับมัณฑะเลย์รถทัวร์รอบ 3 ทุ่มครึ่ง ถึง ตี 1 ครึ่งไปนั่งเคว้งอยู่ร้านน้ำชาเช่นเดิม เนื่องจากว่าเราต้องรอขึ้นรถบัสของ AirAsia ตอน 9 โมงครับ เราเลยหา Taxi ไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานไม้อูเบ็ง แล้วให้ไปสั่งแถวๆ จุดขึ้นรถบัสครับ

ก็ขอจบกระทู้ ความประทับใจ เกี่ยวกับเมืองมัณฑะเลย์ พุกามประเทศพม่าไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ทริปนี้เรียกว่าเป็นทริปที่เราเที่ยวเต็มที่จริงๆ จากที่ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะสวยงามมากมาย แต่พอได้ไปเยี่ยมเยียนประเทศเพื่อนบ้านประเทศนี้ผมพูดได้เต็มปากว่า ผมโคตรจะประทับใจ ถ้ามีโอกาสผมจะต้องกลับไปที่นี่อีกเป็นแน่

สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเป็นค่าใช้จ่ายรวมสำหรับ 2 คนนะครับ ยอดรวมต่อคนจะต้องหาร 2 อีกที
ค่าเครื่องบิน 4,450 บาท
ค่าโหลดกระเป๋า 1,140 บาท
โรงแรม Taw win มัณฑะเลย์ 945 บาท
โรงแรม Aung Mingala 1,362 บาท
ซิม Telenor 12,000 จ๊าด
ค่ารถทัวร์ Mandalay – Bagan 21,000 จ๊าด
ข้าวมื้อกลางวันวันแรก ร้าน Shan mama 3,900 จ๊าด
ขนมปังกินเล่น ร้าน Golden Medal Bakery 2,000 จ๊าด
ค่า Taxi ไปอูเบ็ง 15,000 จ๊าด
ค่าขนม 1,900 จ๊าด ค่าน้ำ 300 จ๊าด ไอศครีม 3,700 จ๊าด
ค่าแทกซี่ไปพระมหามัยมุนี 10,000 จ๊าด ค่าทองปิดพระมหามัยมุนี 3,200 จ๊าด
ค่าเรือไปมิงกุน 10,000 จ๊าด ค่าเข้าชมหมู่บ้านมิงกุน 10,000 จ๊าด ค่าไกด์ 400 บาท
ค่าข้าวกลางวันวันที่สอง 10,000 จ๊าด
ค่าเข้าพระราชวังมัณฑะเลย์ 20,000 จ๊าด
ค่าธรรมเนียมกล้องบน Mandalay Hill 2,000 จ๊าด
ค่าเหมา Taxi One day Trip 30,000 จ๊าด
ค่าอาหารเย็น ร้าน Shan ma ma 6,000 จ๊าด
ค่าแทกซี่เหมาจากท่ารถไปเนียงอู 11,000 จ๊าด
ค่ามอเตอร์ไซค์ 1 วัน 2 คน วันแรก 15,000 จ๊าด
อาหารเย็น 5,500 จ๊าด ค่ามอเตอร์ไซค์ 1 วัน 2 คน วันที่สอง 15,000 จ๊าด
ค่าอาหารกลางวัน (Mohinga) 2,000 จ๊าด
ค่าทำเบรคมอเตอร์ไซค์แตก 5,000 จ๊าด
ค่ารถทัวร์กลับมัณฑะเลย์ 17,000 จ๊าด ค่าน้ำชา กาแฟ ที่มัณฑะเลย์ 400 จ๊าด
ค่าเหมาแทกซี่ไปอูเบ็ง 17,000 จ๊าด ค่าอาหารเช้า 1,700 จ๊าด
ซื้อของฝาก 2,050 จ๊าด

รวมยอดทุกอย่างตามเรท ณ ขณะนั้น ต่อคน ประมาณ 7,780 บาท ครับ

ฝากไว้กับ ภาพพาโนราม่า จากมัณฑะเลย์ และพุกาม ครับ

สุดท้ายแล้วจริงๆ ครับ ถ้าชื่นชม ชื่นชอบ กระทู้นี้ รบกวนกดไลค์กันสักนิด อย่าคิดว่าฝากเพจ เพราะจงใจอยากได้ไลค์เลยแหละ
เข้าใจตรงกันนะ ตามนี้เลย >> https://www.facebook.com/PaiiPaLa

Advertisement

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s